เป็นที่ฮือฮาและแตกตื่นกันอย่างมาก สำหรับข่าวของ PM2.5 ในประเทศไทย องค์กรอนามัยโลกนั้นได้มีการกำหนดค่าเฉลี่ยของฝุ่นละอองอย่าง PM2.5 ไว้ว่าไม่ควรเกินกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หากเกินกว่านั้นอาจที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ในขณะเดียวกันนั้นประเทศไทยได้กำหนดค่าไว้ที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่ไม่ว่าจะถือมาตรฐานค่าใด ค่าของฝุ่นละออง PM2.5 ในประเทศไทยตอนนี้นั้นถือได้ว่าเข้าขั้นวิกฤตเป็นอย่างมาก ด้วยปริมาณเกือบ 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เลยทีเดียว โดยเฉพาะในบริเวณถนนบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่นรวมถึงรอบสถานที่ก่อสร้าง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยากมากสำหรับกรุงเทพมหานครของเรา การจราจรที่ติดขัดและหนาแน่นในทุกวัน ตึกรางบ้านช่องคอนโดต่างๆ มากมายต่างมีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน
สาเหตุที่ฝุ่นละอองเหล่านี้ถูกเรียกว่า PM2.5 นั้นมาจากการที่ฝุ่นละอองเหล่านี้มีขนาดที่เล็กกว่า 2.5 ไมครอน และไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้ขาดความตระหนักถึงอันตรายอย่างหนักที่เกิดจากเจ้าฝุ่นนี้ โดยฝุ่นละอองจิ๋วเหล่านี้จะเกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งใหม่และเก่า มักมีปริมาณที่สูงมากในกรุงเทพมหานครของเราทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็นจากการจราจรที่หนาแน่นและติดขัด ด้วยความที่มีขนาดเล็กมากเจ้าฝุ่นจิ๋วเหล่านี้ สามารถที่จะถูกสูดลึกเข้าไปได้ถึงทางเดินหายใจและปอด บางอนุภาคนั้นยังอาจที่จะเข้าสู่กระแสเลือดและมีการไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาของสุขภาพหลายๆ อย่างตามมาได้
ภัยร้ายต่อทางเดินหายใจและปอดนั้นด้วยความที่เป็นฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กมาเราจึงสามารถที่จะสูดมันเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้จะสามารถกำเริบได้ง่าย รวมถึงผู้ที่มีอาการหอบหืดก็เช่นกัน หากไม่รีบป้องกันหรือแก้ไขยังรับมลพิษเหล่านี้เข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายของเราเป็นเวลานานผลลัพธ์ที่ตามมานั้น อาจจะทำให้เกิดมะเร็งปอดได้
ภัยร้ายต่อสมองที่ตามมา เมื่อฝุ่นเหล่านี้สามารถที่จะเข้าผ่านไปยังกระแสเลือดและมีการสะสมเกิดขึ้น จะส่งผลให้มีความดันโลหิตที่สูง เลือดมีความหนืด เสี่ยงที่จะเกิดลิ่มเลือดในสมองรวมไปถึงการที่หลอดเลือดในสมองนั้นแข็งตัว ทำให้เกิดอาการตีบหรือแตกได้ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และเสียชีวิตได้
ภัยร้ายต่อหัวใจที่ตามมา มีความคล้ายคลึงกันเช่นเดียวกับสมอง หากเกิดการสะสมและเกิดการตกตะกอนภายในหลอดเลือดนั้น จะทำให้เกิดอาการหัวใจวายนอกจากนี้การสัมผัสมลพิษทางอากาศยังมีผลต่อเซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นหัวใจวายเฉียบพลันเลยทีเดียว
การที่จะเกิดโรคมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยในเรื่องของ ความแข็งแรงของร่างกาย ภูมิคุ้มกัน และสุขภาพ รวมถึงโรคประจำตัวก็เป็นอีปัจจัยหนึ่งที่สำคัญและอาจที่จะได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษเช่นกัน
– เด็กนั้นมีภูมิคุ้มกันที่น้อยกว่าผู้ใหญ่รวมถึงอวัยวะภายในยังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา มีโอกาสที่ฝุ่นละอองเหล่านี้จะเข้าไปส่งผลในการขัดขวางการเจริญเติบโตและเกิดโรคร้ายแรงในที่สุด
– หญิงมีครรภ์ นอกจากร่างกายของผู้เป็นแม่ที่ได้รับเข้าไปจะอันตรายแล้วยังส่งผลร้ายแรงกับทารกในครรภ์อีกด้วย ทั้งการคลอดก่อนกำหนด เสี่ยงแท้งบุตร และเพิ่มอัตราการเสียชีวิตของเด็กในครรภ์ – ผู้สูงอายุ อวัยวะภายในเริ่มที่จะเสื่อมถอย ระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายรวมถึงภูมิคุ้มกันนั้นน้อยลง หากต้องเผชิญกับฝุ่นเหล่านี้อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจและหอบหืด
– ผู้ป่วยหรือผู้มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะในโรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจ โรคปอด การสูดฝุ่นละอองเหล่านี้เข้าไปโดยตรงอาจทำให้เกิดผลกำเริบถึงขั้นเสียชีวิตได้
สำหรับการป้องกันตัวเองนั้น
1. ควรที่จะสวมใส่และใช้หน้ากากอนามัยที่สามารถกรองฝุ่นละอองพิษเหล่านี้ได้ เช่น หน้ากากอนามัย N95 อย่างน้อยก็สามารถที่จะกรองได้ถึง 95% ด้วยกัน
2. แอพช่วยดูค่าของฝุ่นเพื่อเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อพร้อมที่จะได้เตรียมตัวและรับมือกับมัน
3. หลีกเลี่ยงกิจกรรมนอกบ้านที่อาจได้รับฝุ่นและมลภาวะเหล่านี้มากขึ้น
4. พยายามอยู่ในบ้านหรืออาคารที่มีการปิดมิดชิดโดยอาจจะใช้เครื่องฟอกอากาศในการช่วย
5. งดสูบบุหรี่หรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดควัน การสูบบุหรี่และกลิ่นควันนั้นส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจและปอด
6. ที่สำคัญในข้อสุดท้ายนั้นควรสังเกตตัวเอง หากมีปัญหาหรือโรคภัยไข้เจ็บที่อาจได้รับผลกระทบมาจากละอองนั้น เช่นหายใจลำบาก หน้ามืด อ่อนแรง ไอติดต่อกันรุนแรง ควรรีบพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ทันท่วงที