ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หลังน้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่มหาสมุทร เป็นการทับถมปัญหามลพิษทางทะเลให้กับระบบนิเวศมากขึ้น อุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเลย
เหตุการณ์ น้ำมันดับรั่วไหล กลางทะเลระยอง 400,000 ลิตร นั้นถือว่าเป็นจำนวนที่มากพอสมควร ต้องเร่งกำจัดให้ได้เร็วที่สุดก่อนที่จะไปถึงชายหาด เพราะจะทำให้มีความยากต่อการทำความสะอาดและแน่นอนว่าการรั่วไหลในทะเลนั้นเป็นมลพิษและน้ำต่อสัตว์น้ำในทะเลอย่างแน่นอน รวมถึงอาจจะกระจายไปยังบนหาดและนกบริเวณนั้นอาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย ความกังวลหลายด้านหลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำมันดับรั่วไหล ส่งผลต่อระบบนิเวศ แม้จะไม่เกิดขึ้นในทันที แต่ก็จะยังคงอยู่ในระยะยาวและค่อยๆซึมลึกสู่ใต้น้ำและหาดทรายจากสารพิษตกค้าง อีกทั้งการกำจัดนั้นไม่ง่ายที่จะขจัดให้หมดจดในรอบเดียว
วิธีการกำจัดนั้นมีอยู่หลายวิธีมาก เช่น การปล่อยให้มันสลายไปเองโดยธรรมชาติ (ต้องคำนึงถึงสิ่งที่รั่วไหล และยากที่จะใช้วิธีนี้ได้) การกักเก็บ การใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน (ประเทศไทยใช้วิธีนี้) การเผาและทำความสะอาดชายฝั่ง
ผลกระทบต่อสัตว์ในทะเล
สิ่งมีชีวิตที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นสัตว์น้ำในทะเลน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในทะเลสัตว์ทะเลที่แหวกว่ายใต้ทะเลลึกได้ผลกระทบจากการรั่วไหลของมันน้อย ลง แต่ภัยพิบัติจากน้ำมันใกล้ฝั่งจะสร้างความเสียหายให้กับนกชายฝั่งและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลที่อาศัยอยู่บริเวณทะเลและบนพื้นผิวของมหาสมุทรมากที่สุด และต่อไปนี้คือสัตว์และมนุษย์รวมไปถึงอาชีพที่ได้รับผลกระทบจากน้ำมันรั่ว
นก นกที่ออกหากินตามชายฝั่งอาจจะมีความเสี่ยงเป็นพิเศษเนื่องจากน้ำมันปกคลุมพื้นผิวมหาสมุทร ที่พวกมันกินเข้าไปและน้ำมันที่ไหลซึมอยู่ตามชายหาดที่มันเดินหาอาหาร และรังของมันมีคราบน้ำมันไปเกาะ เมื่อนกถูกปกคลุมไปด้วยน้ำมัน มันจะทำให้นกตายในที่สุด
ปลา น้ำมันที่หนากว่าบางชนิดจมลงสู่ก้นมหาสมุทร โดยที่พวกปลามันกินน้ำมันเข้าไปจะฆ่ามันตายทันที แต่จะมีสารพิษสะสมอยู่ในตับและอวัยวะอื่นๆ นานพอที่ชาวประมงจะจับเอามาเพื่อเอามาเป็นอาหารซีฟู้ดให้กับเรา
ปูหรือหอยที่อาศัยอยู่ในทราย น้ำมันนั้นมีความเข้มข้นสูง จะฆ่าปูที่โตเต็มวัย ในขณะที่ปริมาณน้อยกว่าอาจจะเป็นอันตรายต่อทารกและไข่ของพวกมันสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบนิเวศบนชายหาดของเราเพราะ ทุกคนกินพวกมัน สัตว์อื่นๆ เช่น เต่า โลมา วาฬ แมงกะพรุน สัตว์เหล่านี้ล้วนได้รับผลกระทบจากรั่วของน้ำมัน แม้ว่าพวกมันจะรู้ตัวและหนีไปทันแต่ก็ยังเสี่ยงอยู่ดี
แหล่งอาหารของสัตว์ในทะเลก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน การรั่วไหลของน้ำมันที่ล่องลอยอยู่เหนือผิวน้ำนั้น ส่งผลให้ออกซิเจนในน้ำนั้นลดลงและแสงส่องไม่ถึงพืชในทะเล ในพื้นที่มีพืชทะเลเติบโตอยู่ รวมไปถึงปะการัง
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและชุมชน ชุมชนหรือที่พัก ร้านค้าต่างๆ จะได้รับผลกระทบจากการสูญเสียนักท่องเที่ยวหลังเกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหล คนจะหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าสู่พื้นที่เสี่ยงภัยมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชุมชนเป็นวงกว้าง
อาชีพประมงจะต้องหยุดชะงัก เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าอาชีพหาปูหาปลาในทะเล การประมง จะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนและไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ และจะถูกสั่งห้ามเดินเรือออกทะเลทันที เพราะถ้าชาวประมง เดินเรือออกไปหาสัตว์ทะเล เรือจะทำให้น้ำเกิดคลื่นและพัดน้ำมันที่ลอยอยู่บนผิวน้ำเข้าฝั่งหาดได้ และผลเสียอีกเรื่องก็คือ สัตว์น้ำในทะเลอาจจะกลืนกินน้ำมันเข้าไปแล้วทำให้ปลาหรือสัตว์ทะเลไม่มีความสะอาด ถ้าจับเอามาขายหรือเอามากินเอง อาจจะส่งผลเสียได้
ปกติมลพิษหรือสิ่งสกปรกก็มีเยอะมากพออยู่แล้ว เช่นปัญหา ขยะพลาสติก ปัญหา การทำประมงเกินขนาดการปล่อยน้ำเสียลงสู่ทะเล การก่อสร้างที่พักอาคารริมชายหาด การทำกำแพงกันคลื่น ฯลฯ เท่านี้ก็ทำให้ทะเลไม่ได้หยุดพักการฟื้นฟูธรรมชาติของตัวมันเองเลยสักนิด เรื่องราวของน้ำมันรั่วไหลลงทะเล ก็คงไม่มีใครอยากให้มันเกิดเพราะแค่มันเกิดปัญหาหลายๆ อย่าง ก็ตามมาแบบไม่รู้จะแก้ไขโดยเร็วได้ยังไง แถมยังฆ่าชีวิตสัตว์น้ำ ทำลายระบบนิเวศ ทำลายความสวยงาม ทำลายความสะอาด และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อีก